Search This Blog

Monday, February 22, 2016

7 วิธีบอก Good Night ในภาษาอังกฤษ

นอกจาก Good Night แล้ว เราจะพูดอะไรได้อีก?
 
 
เรากล่าวราตรีสวัสดิ์ได้หลายวิธีนะคะ ลองมาดู 7 วิธีที่กล่าวราตรีสวัสดิ์ได้ค่ะ


 
 
Good night                       (กึ่ด ไนท์)           ราตรีสวัสดิ์

G’night                              (กึ่-ไนท์)             ราตรีสวัสดิ์ (แบบย่อๆ)
 
Night night หรือ nite nite    (ไนท์ ไนท์)        ราตรีสวัสดิ์

  • สามข้อด้านบนนี้ พูดได้ทั้งหมด ไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะ พูดเต็มก็ได้ พูดย่อก็ได้ ไม่ได้มีว่าแบบไหนเป็นทางการไม่เป็นทางการ
  • เวลาเอาไปใช้จริง อาจจะได้ยินว่า บางคนพูดเสียง (เท่อะ) ในการออกเสียงตัว t ที่ท้ายคำอย่างชัดเจน แต่บางคนก็พูดแบบแทบจะไม่ได้ยินเสียง t (เท่อะ) เลยทีเดียวไม่ออกเสียงตัว t หรือประมาณ "เท่อะ" ที่ด้านท้ายคำอย่างที่ปกติเราจะทำกันแบบชัดๆนะคะ
     
คำอื่นๆ ที่สามารถพูดได้หากจะไปนอนแล้ว คือ:
 
Sweet dream                      (สวีทท์ ดรีม)                ฝันดีนะ
 
I'm gonna go to bed.          (อัม กอนน่ะ โก ทู เบด)  จะไปนอนแล้วนะ
 
Sleep tight                          (สลีพป์ ไทท์)       
คำนี้ประมาณว่า อวยให้ผู้ที่จะไปนอน นอนหลับสนิทๆหลับดีๆ เป็นคำที่พูดกันบ่อยๆในภาษาอังกฤษ แต่กรุณาอย่าได้แปลเป็นไทยตรงตัวเป็นอันขาด เพราะคนละภาษา คนละวัฒนธรรม ก็จะมีวิธีการพูดต่างกันออกไปนะคะ ^^

Don't let the bug bite ya.    (ด๊นท์ เลทท์ เด่อะ บัก ไบท์ ยะ)     อย่าให้แมงมากัดนะ (....บอกแล้ว อย่าแปลตรงตัว .. เขาพูดอย่างนี้จริงๆค่า)


*คำว่า Good ปกติเราอ่านว่า (กู้ด)  แต่เมื่อเราพูด Good Night ส่วนใหญ่ เราจะออกเสียงพยางค์แรกเร็วๆค่ะ เราเลยอ่านคำนี้ว่า (กึ่ด ไนท์) 
 
แนะนำเลยค่ะว่า การเร่งความเร็ว (speed) ในการออกเสียงกลุ่มคำ หรือประโยค จะง่ายต่อการออกเสียงมากกว่าการที่เราพยายามพูดช้าๆ ชัดๆ เป็นคำๆ ครูได้แนะวิธี "เนียน" ในการออกเสียงไว้ที่นี่นะคะ ฝึกออกเสียงรวบๆ เร็วๆ จะทำให้ออกเสียงง่ายกว่าค่อยๆ ออกเสี่ยงทีละคำนะคะ
https://www.youtube.com/watch?v=2SyJwqGDWWI


See you next blog :-)
KRUBOW SUNIDA

----------------------------------------------------------------
www.facebook.com/happyenglish.happylife
 

Thursday, February 18, 2016

3 กลยุทธ์ พิชิตคำถามสัมภาษณ์งาน “Tell me about yourself”

มีนักศึกษาท่านหนึ่งซึ่งใกล้จะเป็นบัญฑิตใหม่ ขอคำปรึกษามาว่า เวลาไปสัมภาษณ์งานแล้วเขาถามว่า "Tell me about yourself" เราควรจะตอบว่าอะไร   ลองดูการตอบการสัมภาษณ์ประโยคนี้ ด้วยคำตอบด้านล่างนี้ค่ะ

ผู้สัมภาษณ์:          Tell me about yourself
ผู้สมัครงาน:          I am from Korat and I am married to my husband. I moved to Bangkok to live with him
after our marriage three months ago. We have a new apartment nearby your company. I am now ready to start my work again. In the past I worked many jobs related to customer services and I now I want to work in a good company.

จากคำตอบด้านบน จะเห็นว่า เป็นการบอกเรื่องส่วนตัว มาจากโคราช ย้ายที่อยู่ตามสามีไปอยู่กทม.หลังแต่งงานได้ 3 เดือน เคยทำงานมาแล้วหลายงาน และอยากทำงานในบริษัทที่มั่นคง   หากลองวิเคราะห์ดูอีก ก็จะเกิดคำถามได้อีกว่า:

 -   แล้วถ้าสามีย้ายงาน คุณก็ต้องย้ายตามน่ะสิ (ถ้าจ้างมา เดี๋ยวก็ออก?)
-    ทำงานมาหลายที่ (ทำงานอะไร ทำไมถึงย้าย ทำไมย้ายบ่อย?)
       -   ทำงานด้านการบริการลูกค้า (อย่างไร ไม่ได้เจาะจง ไม่มีตัวอย่าง?)

จะเป็นว่า ผู้สมัครงานไม่ได้พูดถึงว่าตัวเองจะสามารถทำงานอะไรให้นายจ้างได้เลย ผู้สมัครงาน มักจะมองว่า บริษัทจะให้อะไรแต่ตนเองบ้าง  แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้สัมภาษณ์จะมองว่า ทำไม เขาต้องจ้างคุณ  นั่นหมายถึง Would you be an asset to the company? เขาอยากทราบว่าคุณสามารถทำอะไรให้บริษัทได้บ้างต่างหาก

ความลับอยู่ที่ กลยุทธ์ 3 ข้อ พิชิตคำถาม Tell me about yourself คือ  Focus (โฟกัส), Script (สคริ้ปท์) และ Practice (แพร่กทริสส์)


1.  Focusสร้างจุดรวมของสิ่งที่จะพูดให้เกี่ยวกับงานที่กำลังสมัครอยู่โดยการเตรียมการสัมภาษณ์โดยเขียนจุดเด่น (Strength) ของตัวเองที่เกี่ยวกับงานนั้นมา 5 ข้อ ที่เป็นประสบการณ์ หรือทักษะที่คุณมีและสามารถมาปรับใช้กับงานนั้น เช่น อาจมี strength ในการสื่อสาร ถนัดการทำงานกับคน มีประสบการณ์ในการจัดการบริหารลูกค้า การติดตามดูแลลูกค้า และเป็นคนทำงานตามวันกำหนดส่งงาน (deadline)

2.  Script คุณควรจะเริ่มด้วยการเล่าความสำเร็จที่เกี่ยวกับการงาน ในที่นี้ ผู้สมัครจะไปสมัครงานบริการลูกค้า (Customer Service) สิ่งที่เตรียมทั้งหมดก็จะเกี่ยวข้องกันกับตำแหน่งงานที่สมัครนี้ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน: ประสบการณ์/ strengths/ สรุป

     ส่วนที่ 1: ประสบการณ์

"I have been in the customer service industry for the past five years1. My most recent experience has been handling incoming calls in the high tech industry2. One reason I particularly enjoy this business, and the challenges that go along with it, is the opportunity to connect with people3. In my last job, I formed some significant customer relationships resulting in a 30 percent increase in sales in a matter of months4."

รูปแบบของการตอบในส่วนแรก จะพูดถึง 4 จุดสำคัญ
1-      สรุปประสบการณ์งานที่ผ่านมา (มีประสบการณ์ในด้านการบริการลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมมากว่า 5 ปี
2-      ประสบการณ์ล่าสุด (เมื่อไม่นานมานี้มีประสบการณ์ด้านการจัดการโทรศัพท์ที่ติดต่อเข้ามายังกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง)
3-     สิ่งที่ทำให้เราสนุกกับงาน (ชอบมากที่ได้ทำงานในการติดต่อกับผู้คน)
4-      สิ่งที่ทำให้บริษัทที่เคยทำงานอยู่ได้ประโยชน์ (จากการที่เราดูแลลูกค้าดีมากส่งผลให้แผนกมียอดขายเพิ่มขึ้น 30% ภายในไม่กี่เดือน)

     ส่วนที่ 2:  strengths
"My real strength is my attention to detail1. I pride myself on my reputation for following through and meeting deadlines2. When I commit to doing something, I make sure it gets done, and on time."

รูปแบบของการตอบในส่วนแรก จะพูดถึง 2 จุดสำคัญ
1-      จุดเด่นแรกในการทำงานของคุณ (การใส่ใจในรายละเอียด) [และนี่เป็นสิ่งสำคัญในการบริการลูกค้า]
2-      จุดเด่นที่สอง (ติดตามงาน และทำให้เสร็จทันตามกำหนดงาน)

     ส่วนที่ 3: บทสรุป ที่บ่งบอกถึงสิ่งที่คุณอยากทำในปัจจุบัน(ที่เกี่ยวกับงาน)
"What I am looking for now is a company that values customer relations1, where I can join a strong team and have a positive impact on customer retention and sales2.

สรุปด้วยจุดสำคัญเพียงจุดเดียว และขยายความเพิ่มเติม
1-      กำลังมองหาบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการบริษัทและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า
2-      ขยายความว่า เพราะเหตุนั้น คุณก็เลยอยากมีส่วนร่วมกับทีมที่แข็งแกร่ง และทีมที่ส่งผลดีต่อการรักษาลูกค้าไว้และการขาย

สคริ้ปท์ที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องมีคำต่อคำที่คุณเตรียมจะพูด เพราะตอนคุณสัมภาษณ์มันจะกลายเป็นท่องเอา แต่หากภาษาอังกฤษคุณยังไม่คล่อง คุณอาจเขียนเป็นแบบที่คุณอยากเตรียมเพื่อที่จะพูด และขีดเส้นใต้คำหรือจุดที่สำคัญๆ (keyword) เพื่อช่วยในการจำ และเนื่องจากคุณมีเวลาไม่มากนัก (อาจจะ 3-5 นาที) ที่คุณจะมีโอกาสพูดในสิ่งที่อยากพูด เพราะฉะนั้น การเขียนสคริ้ปท์จะช่วยให้คุณไม่ออกนอกเรื่อง และจะไม่ลืมในสิ่งสำคัญๆที่ควรพูด 

3.  Practice
อย่าลืมว่า การตอบคำถามสัมภาษณ์งาน ไม่ควรท่อง เด็ดขาด หากคุณยังต้องเตรียมไว้ก่อน ก็ควรฝึกให้-เนียน-นะคะ พยายามพูดให้เป็นธรรมชาติไว้ ขอแนะนำสั้นๆว่า ควรจะฝึกหน้ากระจกแล้วตอบคำถามกับตัวเอง อาจจะเอาโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมาอัดคลิปตอนเราพูดไว้ก็ได้ เสร็จแล้วก็นำมาดู วิเคราะห์ว่ามีอะไรที่เราควรปรับปรุงไหมเรื่องของการพูดและการใช้ภาษา หรืออาจให้คนที่บ้านช่วยดูตอนคุณซ้อม และออกความเห็นก็ได้ค่ะว่าเป็นอย่างไร
 
Info. Cr: http://career-advice.monster.com/job-interview/interview-questions/intreview-tell-me-about-yourself/article.aspx
Photo Cr.: http://laurieburtontraining.com/how-to-get-that-job-youre-due-make-an-entrance-and-an-exit/


==================================
15 ภาษากายที่ควรหลีกเลี่ยงในการสัมภาษณ์งาน และการพบปะทางธุรกิจ
http://www.krubowsunida.blogspot.com/2016/02/15.html

















==================================
ติดตามเพิ่มเติมการตอบคำถามสัมภาษณ์งาน พร้อมบทวิเคราะห์ และคำตอบได้ที่ 
www.krubowsunida.blogspot.com

Contact:
fb: eng.interview เพจชื่อ สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษให้ได้งาน
email: krubowsunida@gmail.com


Wednesday, February 17, 2016

พูดภาษาอังกฤษได้ชีวิตดี๊ดี

สวัสดีค่า วันนี้ได้ฤกษ์แห่งการต้อนรับ ชื่อเพจใหม่ในเฟสค่ะ "พูดอังกฤษได้ชีวิตดี๊ดี"
============
-ที่ตรงนี้-
นี่จะเป็นพื้นที่ที่ โบว์ จะมาแบ่งประสบการณ์การพูด และการใช้ภาษาอังกฤษที่สั่งสมมาตลอดชีวิต พร้อมความหวังที่ว่า มันจะเป็นประโยชน์ และสร้างความสุขให้ในชีวิตให้กับพวกเราคนไทยได้ไม่มากก็น้อยนะคะ
.
-อดีต-
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้..... ขอเล่าฟังว่า เราเห็นตัวเราเองเสมอว่ามีปมในชีวิต
.
โดนเปรียบเปรยมาเสมอว่าไม่สวย ไม่เก่ง โดนเรียกชื่อล้อตั้งแต่ตอนเด็กๆ ด้วยความที่ตัวใหญ่ ตอน ป.5 ครูสอนภาษาอังกฤษมองหน้าเราแบบ...ทำไมเธอมันไม่ได้่เรื่อง เมื่อเขาสอบพูดอังกฤษ ถาม: How are you?  เราตอบ: หนูไม่เคยเรียนค่ะ
สายตาที่ครูมองมา มันทิ่มแทงหัวใจจริงๆ
.
ตอน ป.6 โดนเพื่อนชี้หน้าด่าว่า "หน้าอย่างนี้เหรอ กุจะจีบ" ต่อหน้าเพื่อนในห้องกว่าอีก 50คน .. ตอนนั้นปล่อยโฮกลางห้องไม่อายใคร..ทำไมชั้นไม่เกิดมาสวย ทำไมชั้นไม่เกิดมาเก่ง
=========
ร้องไห้หนักมาก
=========
-จุดเปลี่ยน-
จากการไปทัศนศึกษา ป.6 เป็นครั้งแรก ทำให้เราได้พบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติสองคน เราแค่อยากบอกเว่า เห้ย ยูสูงจัง... ชั้นตัวเล็กไปเลย แต่ "พูดไม่เป็น"!!!! เราลงเอยด้วยการใช้ภาษามือ บวกกับการออกเสียงนิดหน่อย "ยูๆๆๆ" แล้วทำมือแบบ เธอสูงมากกก "ไอๆๆๆ" แล้วทำมือว่าเราตัวเตี้ยมาก .... เออ มันเข้าใจแหะ!!
.
จากนั้น..มานั่งนึกดู อืม... เราจะต้องมีดีให้ได้บ้างดิ เออ จะเอาไรดี ..
++นางแบบ?  ....เอ่อมมมม
++เลข?  ....เอ่ออออมมมมมม เกิดมาไม่เคยได้เลขเกินเกรด 1 สมัยเรียน ขอบอก
++ร้องเพลง?  ....เห้ย ในห้องน้ำเนี่ยะ หากเทียบกับสมัยนี้ชั้นน้องๆ Adele (อเดล) เลยนะยะ แต่...ไม่ใช่อ่ะ
==========
เอาภาษาอังกฤษเนี่ยะแหละ!!!! ขนาดไม่ออกเสียง ฝรั่งยังรู้เรื่อง เกิดพูดได้ขึ้นมา มันต้องรู้เรื่องมั่งดิ !!!
==========
-ปัจจุบัน-
เห้ยยย เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง......ภาษาอังกฤษมันทำให้เรารู้สึกสวยขึ้น! มีความสามารถมากขึ้น!! มันเปิดโลกเราให้กว้างขึ้น  เราสามารถสื่อสารกับคนได้อีกในอีกครึ่งค่อนโลก เราได้โอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ วัฒนธรรม ชีวิตของคน ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือแม้แต่ ข้อมูลนวัตกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นนอกอณาเขตขวานทองอันเป็นที่้รักนี้
และนี่ เป็นสิ่งที่เราอยากบอกว่า เมื่อคุณสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ คุณอาจจะกำลังเปิดรับสิ่งใหม่ๆ โอกาสใหม่ๆ และความสุขใหม่ๆที่คุณสามารถจะสรรหาได้จากการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดนี้
.
ณ ปัจจุบัน ... เรา..แม่พิมพ์ของชาติเต็มตัว แต่เป็นแม่พิมพ์ในแบบของเรานะ  แบบที่บุพการี และครอบครัวปลูกฝังมาให้เป็นคนดี ทำตนเพื่อส่วนรวม ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร  แบบที่...เพื่อนๆ รักเราในความเป็น "มี๊คอง" (แต่ก่อนฉายาคือ คิงคอง ตอนนี้กลายเป็น "มี๊คอง"ละ 55555)  และแน่นอน เราเป็นแม่พิมพ์ของชาติ..แบบที่....ทำให้ดีที่้สุดในสิ่งที่มั่นใจ และในสิ่งที่รัก
.
วันนี้ ยังไม่ถึงจุดที่วาดฝันไว้ แต่มั่นใจว่ามาถูกทาง ภาษาอังกฤษคือชีวิตส่วนหนึ่ง และเป็นชีวิตที่เมื่อเราทำมันทุกวินาที ทุกลมหายใจ เรามีความสุข และสนุกกับมันจริงๆ และเราพร้อมแล้ว ... ที่จะแบ่งปันความสุขนั้น กับทุกๆคน ที่พร้อมจะเปิดใจ...รับความสุขนั้น..ไปด้วยกัน
.
กว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้ขนาดนี้ แบบวันนี้ มีผู้อยู่เบื้องหลังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บุพการี ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนที่้รัก ลูกศิษย์ทั้งในและต่างประเทศ .... ขอขอบคุณมากๆจริงๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ โบว์ เป็น "โบว์" ในวันนี้
.
-เพจนี้-
จะเป็นเพจที่ โบว์ จะนำภาษาอังกฤษ ทั้งในรูปแบบการเล่าเรื่อง .. งานเขียน..คลิปที่จะลงใน Youtube ให้ติดตามกัน  จะมีทั้ง ภาษาไทย และอังกฤษ ที่จะมาบอกกล่าวเล่าให้ฟังกัน  จะมีทั้งเคล็ดลับวิชาที่สั่งสมมาตลอดชีวิต  วิธีต่างๆ  รวมไปถึงการใช้ภาษาอังกฤษที่ใช้ได้จริงๆ  มาแบ่งปันให้กันแบบสุดใจ
.
มาช่วยกันสานฝันกับโบว์ ให้พวกเราคนไทย พูดภาษาอังกฤษได้ และ มีชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขที่มากขึ้น กันเถอะค่ะ ^^ การได้รับการ follow กดไลค์ กด share เป็นเหมือนน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่มีให้กับ "The Giver" หรือ "ผู้ให้" คนนี้ ให้มีกำลังใจในการทำฝันนี้ ให้ยิ่งใหญ่ค่ะ
.
กราบงามๆ หนึ่งครั้ง
============
ปล.
นอกจากเพจนี้ ยังมีอีกหนึ่งเพจที่เปิดขึ้นมา สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกการสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษโดยเฉพาะนะคะ สามารถติดตามกันได้ที่:
= facebook. com / eng.interview   
   หรือค้นหาชื่อ
= สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษให้ได้งาน"
==================================================
ปะวัติ โบว์ - สุนิดา วิทยากาญจน์:
• ป.ตรี ABAC อังกฤษธุรกิจ (Business English)
• ป.โท ม.ศ.ว. ภาษาอังกฤษ (English) (attended)
• ป.โท NSU (Bangladesh) TESOL การสอนภาษาอังกฤษ (attended)
• ทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ประเทศนิวซีแลนด์ ปี 2537
• ทุน UMAP จากทบวงมหาวิทยาลัย ป. โท Brock University ประเทศแคนาดา ปี 2545 (นศ ป.โท คนแรกที่ได้ทุนนี้ของมหาวิทยาลัย)
• อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย BRAC University, ธากา  ประเทศบังกลาเทศ 2007-2010
• ผู้จัดการฝ่ายบุคคล - Xetera (Thailand) Ltd. 2012-2013
• Regional HR Manager - Sidel Co., Ltd. 2013-2014
• ประสบการณ์สอนภาษาอังกฤษทั้งใน และ ต่างประเทศ กว่า 15 ปี ทั้งเด็ก นักเรียน นักศึกษา และผู้ใหญ่
• คะแนน IELTS Speaking = 8.5 Total = 7 (2014)
• คะแนน TOEIC 925/990 (2014)
• เชี่ยวชาญด้าน:
=การสอนพูดภาษาอังกฤษให้ใช้ได้จริงในชีวิต
=การฟังภาษาอังกฤษ
=ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (English for Communication)
=อังกฤษธุรกิจ(Business English)
=ทักษะการพรีเซ็นต์(Presentation Skills)
=ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills)
=การพูดภาษาอังกฤษในที่ชุมชน (Public Speaking)
=การสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษ (Job Interview in English)

ติดตามสาระ พร้อมความสนุกสนาน บวกกับพลังความสุข ผ่านการพูดภาษาอังกฤษกันได้ที่
www.facebook.com/happyeng.happylife

Monday, February 15, 2016

“คงจะบ้า ถ้าหวังผลลัพธ์ใหม่ กับวิธีเดิมๆ” – 5 เทคนิคเปลี่ยนตัวเองให้ได้งาน

คุณลองนึกย้อนไปถึงวันที่คุณอยากได้งานทำ แต่โดนปฏิเสธมาจากงานที่อยากได้มากๆ หรือมีอะไรที่อยากได้ แต่ยังไม่ได้สักที แล้วลองตั้งเป็นคำถามให้ตัวเองตอบดูนะคะ ว่าคำตอบของคุณคืออะไร  ตัวอย่างเช่น
  • คุณอยากได้งานใหม่ แต่คุณทำอะไรเพื่อให้ได้มันบ้าง?
  • คุณอยากพูดภาษาอังกฤษได้(บ้าง) แล้วคุณทำอะไรให้คุณพูดได้?
  • คุณอยากได้เงิน(มากๆ) แต่คุณนั่งถูต้นไม้ขอเลขอยู่ ... หรือเปล่า?
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงแห่งโลกฟิสิกส์ เป็นผู้กล่าวประโยคที่เป็นหัวข้อในบทความวันนี้ ตีความแบบเจ็บน้อยหน่อยได้ว่า หากคุณอยากได้อะไรใหม่ๆ คุณต้องเปลี่ยนวิธีที่ทำอยู่!


ครูอยากให้คุณลองลิสต์คำตอบของคุณดูจากสามคำถามด้านบนว่า ในวันที่คุณ "พลาด" ในสิ่งที่คุณอยากได้นั้น คุณทำอะไรบ้างที่ทำให้ผลลัพธ์นั้นมันเปลี่ยนไป...
  • นั่งติดขอบจอดูละครยอดฮิต ทำให้คุณได้งานไหม?
  • นั่งส่องเฟสเพื่อน ดูคลิปคนตีกัน แย่งแฟนกัน ช่วยให้คุณพูดภาอังกฤษได้ไหม?
  • คิดว่า "มันยากจัง" "เหนื่อยจัง" "พรุ่งนี่ค่อยทำละกัน" จะทำให้คุณได้เงินมาก อย่างที่คุณอยากได้ไหม?
หากตอบคำถามได้แล้ว ลองมาดูสมการง่ายๆของ ไอน์สไตน์ ที่หลายๆคนยังไม่เข้าใจ หรือนึกไม่ถึง นั่นคือ
          วิธีเดิม     ผลลัพธ์ใหม่    

ไม่ว่าคุณจะทำอย่างไร วิธีเดิมๆของคุณ ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ใหม่ๆได้  ปัจจุบันที่คุณเป็นอยู่(ผลลัพธ์ในปัจจุบัน) เป็นผลมาจากอดีตของคุณทั้งหมด (มาจากวิธีเดิม)  ดังนั้น หากคุณต้องการผลลัพธ์ใหม่ คุณต้องทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิม สมการจะเปลี่ยนเป็น      
       วิธีใหม่   =  ผลลัพธ์ใหม่

ยกตัวอย่างจากการที่คนไทยเรียนภาษาอังกฤษมาไม่รู้กี่สิบปี กี่ปีผ่านไปครูก็ยังเห็นหลักสูตรการสอนเน้นที่หลักแกรมม่า สอบแบบเลือก a. b. c. d. ท่องจำ แล้วคนเรียนไปเป็นสิบๆปี ก็พูดไม่ได้สักที ปัจจุบัน การเรียนภาษาอังกฤษในบ้านเราก็ยังเป็นแบบเดิมอยู่ในหลายๆพื้นที่ และคนก็ยังพูดภาอังกฤษไม่ได้สักที เข้าหลักสมการ  วิธีเดิม     ผลลัพธ์ใหม่
 
เพราะฉะนั้น หากคุณอยากได้ผลลัพธ์แบบใหม่ คุณต้องลอง 5 เทคนิคต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ใหม่ๆในชีวิตที่คุณอยากให้เป็น
 
1. เลิกบ่น แล้วลงมือทำ – Stop complaining and Just do it!
ข้อนี้อาจทำยาก เพราะสำหรับบางคน การบ่น (Complain) คือการปลดปล่อย ลองค่อยๆแปลงการบ่น เป็นการมองหาทางออก (Solution) เช่น  "เห้อ วันนี้รถติด น่าเบื่อที่สุด" เป็น "วันนี้ตอนรถติด ได้ฟังภาษาอังกฤษในรถตั้งชั่วโมงนึงแน่ะ"  เมื่อมุมมองเปลี่ยน วิธีการคุณจะเปลี่ยน และชีวิตก็จะเปลี่ยน  คิดได้แบบนี้ก็ไม่ต้องรอแล้วค่ะ ลงมือทำซะ เลิกบ่นแล้วทำทันที

2. ปลดล็อคทางความคิด เลิกยึดติด – Ask yourself Wouldn’t it be nice if….?
การยึดติดว่า น.ศ. จบใหม่เงินเดือนเริ่มต้นคือ หมื่นสอง หมื่นห้า ทำให้คุณตีกรอบความคิดว่าศักยภาพคุณมีไม่เกินเท่าคุณค่าที่ถูกตีราคาไว้ ในการต่อรองเงินเดือน หลายๆจึงคนไม่กล้าขอเงินเดือนมากๆ เพราะคิดว่าเราคงได้เท่านี้แหละ เดี๋ยวจะไม่ได้งาน แต่คุณทราบไหม หากบริษัทเขาเห็นว่า คุณมีของ" เอาจะแหกกรอบของเขาเพื่อให้ได้คุณมา  เพราะฉะนั้น ตื่นมาเช้าๆ ลองถามตัวเองดูว่า Wouldn’t it be nice if….? คือ "มันคงดีนะ ถ้าหากว่าชั้น... (จะได้งานดีๆ เงินดีๆ /  จะพูดภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ได้แล้วต่างชาติรู้เรื่อง?)" ปลดแอกตัวเอง และใส่ความอยากของคุณเข้าไป พูดกับตัวเอง เตือนสติตัวเองทุกวันในสิ่งที่อยากได้หรืออยากเป็น แล้วศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณอาจทำให้คุณประหลาดใจ

3. เขียนเป้าหมาย แล้วท้าลุย – Put what you want down in writing
ทำไมคุณต้องเขียน เพราะเมื่อมันถูกเขียนออกมา มันจะชัดเจน มันจะเตือนคุณทุกวัน คุณกลับมาอ่านใหม่กี่ครั้งก็ได้ เขียนสิ่งที่คุณอยากได้ตัวใหญ่ๆ แล้วแปะไว้ที่กระจกที่คุณมองทุกวัน อาจเป็นในห้องน้ำ หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง (อาจเอาลงเป็น Background ในโทรศัพท์ของคุณไปเลย) มันจะเตือนให้คุณระลึกอยู่เสมอว่า คุณอยากได้อะไร แล้วคุณก็ ลงมือทำทันที  (ครูเอารูปผู้หญิงหุ่นหน้าท้อง 6 แพคไว้ที่หน้าแบคกราวโทรศัพท์ เพราะอยากหุ่นดี 5555555 เวลาหยิบโทรศัพท์มาดู มันก็เตือนเราให้ออกกำลังกายทุกวันนะ) ลองทำดูค่ะ

4. รายล้อมตัวคุณด้วย 5 คนคนต้นแบบ  – surround yourself with 5 ideal persons
เวลาคุณเรียนวิชาเลข คุณเดินไปหาอาจารย์สอนเลข หรือสอนพละ?  มีไหมใครอยากเก่งภาษาอังกฤษ แล้ววิ่งเข้าไปคุยกับคนทัวร์จีนที่พัทยา จงรายล้อมตัวเองด้วยการจัดอันดับ 5 บุคคลต้นแบบที่จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายที่คุณเขียนไว้ในข้อ 3  หากคุณอยากพูดภาอังกฤษได้ ให้คุณเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่พูดได้เก่ง  หากอยากเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน คุณก็วิ่งเข้าไปหาคนที่เขาเป็นแล้วและทำได้ดี เรียนรู้จากเขาว่า เขาใช้ชิวิตอย่างไร วันๆนึงเขาแบ่งเวลาอย่างไร เรียนรู้จากเขาและทำวิธีที่เขาทำ เพราะเขาพิสูจน์มาแล้วว่ามันทำได้สำเร็จ ถึงเวลาที่คุณต้องเรียนรู้เพื่อทำให้ตัวเองสำเร็จแล้ว 5 คนต้นแบบของคุณคือใครคะ?

5. ฝึก ฝึก และ ฝึก - Practice Practice Practice  
ศักยภาพสามารถสร้างได้ มันคือการฝึกและพัฒนาที่ไม่มีขีดจำกัด คุณเท่านั้นที่จะจำกัดศักยภาพของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น การฝึกที่ได้ผลดีที่สุดในโลก คือการฝึกโดยเราไม่รู้สึกว่าเรากำลังฝึกอยู่ เพราะเมื่อคุณรู้สึกว่าคุณเหนื่อย คุณจะท้อ คุณจะคิดว่ามันลำบาก มันยาก คุณจะไม่อยากทำต่อ  เพราะฉะนั้นเมื่อคุณกำลังฝึก คุณยิ้มให้ตัวเองว่า "ชั้นทำได้" และสนุกไปกับมัน ทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ และคุณจะ Practice practice practice ไปตลอดชีวิตได้แบบมีความสุข (ข้อนี้ครูทำมาตลอดในการพูดภาษาอังกฤษ แล้วตอนนี้ก็ชนะเลิศค่ะ!)

สรุป 5 เทคนิค เปลี่ยนตัวเอง
1.  เลิกบ่น แล้วลงมือทำ – Stop complaining and Just do it!
2.  ปลดล็อคทางความคิด เลิกยึดติด – Ask yourself "Wouldn't it be nice if......?"
3. เขียนเป้าหมาย แล้วท้าลุย – Put what you want in writing
4.  รายล้อมตัวคุณด้วย 5 คนแบบอย่าง – Surround yourself with 5 ideal persons
5.   ฝึก ฝึก และฝึก - Practice Practice Practice

อย่าลืมสมการของไอน์สไตน์ "วิธีเดิมๆ  ผลลัพธ์ใหม่" นะคะ
โปรดติดตาม English Version ของบทความนี้ได้ ในโพสต่อไปค่ะ
 
Keep well & see you soon ^^
KRUBOW SUNIDA

ติดตามได้ที่ www.facebook.com/eng.interview 
#สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษให้ได้งาน

บทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก คุณบัณฑิต อึ้งรังษี
Inspired by Mr. Bundit Ungrangsee
Thailand’s Top Bestseller, Speakers and Trainer of the Trainers
http://bundit.org/  and https://en.wikipedia.org/wiki/Bundit_Ungrangsee
photo credit: http://www.sevenquotes.com/insanity/